‘เปอร์เซีย’ เป็นแมวที่มีความโดดเด่นในด้านของรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นขนที่ยาวฟูนุ่มนิ่ม หัวกลม ตาโตแป๋ว เพียงแค่มองก็ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์กว่าแมวทั่ว ๆ ไป ผู้ที่เลี้ยงแมวเปอร์เซียจึงมีความภูมิใจในลักษณะรูปร่างของแมวสายพันธุ์นี้อย่างมาก แล้วเจ้าแมวเปอร์เซียมีที่มาที่ไปอย่างไรจึงทำให้มีค่านิยมว่าเป็นแมวไฮโซ ที่นี่มีคำตอบให้เช่นเคย

ประวัติ แมวเปอร์เซีย
มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกี และอิหร่านในปัจจุบัน โดยปี ค.ศ. 1684 ได้มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับที่มาของแมวเปอร์เซียหรือแมวเปอร์เซียน (Persian Cats) ว่า พ่อค้าทะเลทรายทางแถบตะวันตกของตุรกีและอิหร่านได้บรรทุกสินค้ามากมายมาจำหน่าย ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย และแมวขนยาวสายพันธุ์เตอร์กิช แองโกร่านี้ก็ได้ถูกซื้อโดยกะลาสีที่นำเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีปยุโรป ทำให้มันได้รับการผสมพันธุ์กับแมวอิตาลีจนกลายเป็นที่รู้จักไปทั่ว ซึ่งการที่แมวเปอร์เซียได้รับความนิยมนั้นเกิดจากพระราชินีวิกตอเรียและสมาชิกราชวงศ์อื่น ๆ ที่ชื่นชอบในความสวยงามของสายพันธุ์ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เปอร์เซียกลายเป็นแมวไฮโซในช่วงยุคสมัยหนึ่ง และเมื่อมันถูกนำเข้าไปยังสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
ลักษณะสายพันธุ์ แมวเปอร์เซีย
เปอร์เซียเป็นแมวที่แบ่งออกเป็น 7 สายพันธุ์ด้วยกัน แม้จะมีลักษณะคล้าย ๆ กันแต่ก็มีความแตกต่างที่ทำให้แยกแยะออกได้ ดังนี้
1.Solid colour
ขนจะเป็นสีเดียวกันตลอดตัวโดยไม่มีสีอื่นแซม และสีขนจะต้องเสมอกันตลอด เช่น ขนสีขาวบริสุทธิ์ ขนสีเทาเข้ม ขนดำสนิท ขนสีน้ำตาลช็อกโกแลต หรือขนสีลาเวนเดอร์ เป็นต้น

2.Sliver&Golden
ขนจะมีสีเดียวในลักษณะไล่เฉด ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น โดยที่พันธุ์ Sliver จะเป็นเปอร์เซียที่มีพื้นขนสีขาวปลายขนสีดำ ส่วน Golden มีพื้นขนสีครีมไปจนถึงแดง และมีปลายขนสีดำเช่นกัน

3.Shade&Smoke
มีสีขน 3 แบบ ได้แก่ แบบ Shell ที่มีสีปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke ที่มีสีมากกว่าแบบ Shade

4.Tabby
เป็นแมวลายที่มีลักษณะเด่นคือมีอักษรตัว M ที่หน้าผาก และมีลายเป็นริ้วที่หางตาไล่ไปข้างแก้มชัดเจน จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 3 แบบ ได้แก่ แบบ Classic มีลักษณะลายข้างลำตัวเป็นลายวงใหญ่ ๆ เหมือนกันทั้ง 2 ข้าง แบบ Mackerel จะมีลายเส้นเล็กพาดยาวตามเส้นหลัง ส่วนด้านข้างลำตัวเป็นลายขวางรอบ ๆ ตัว และสุดท้ายคือแบบ Patched tabby ที่มีสีขนพื้นและเส้นลายกลืนกันแบบกระดองเต่า ซึ่งใน Patched tabby สามารถพบได้ทั้งลาย Classic และ Mackerel

5.Parti – colour
เป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะเพศเมียเท่านั้น สีขนที่พบได้แก่สีกระดองเต่า สีดำสลับแดง สีเทาสลับครีม สีน้ำตาลสลับแดง และสีดำสลับแดง ซึ่งสายพันธุ์นี้จะมีตาสีส้มหรือสีเหลือง

6.Calico & Bi – Color
ขนมีสีหลักคือสีขาวกับสีอื่นอีก 1 สี ตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีทองแดง โดยที่ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างจะเท่า ๆ กัน

7.Himalayan
เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาศกับแมวเปอร์เซีย จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวแบบแมววิเชียรมาศ ได้แก่ ครอบหน้า 1 หู 2 ขาทั้ง 4 หาง 1 และอวัยวะเพศ 1 ส่วนดวงตามีสีฟ้าสดใส

ราคาของ แมวเปอร์เซีย
แมวสายพันธุ์ไฮโซนี้มีราคาที่ต่างกันไปหลายระดับ ยิ่งมีลักษณะที่สวยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีราคาที่แพงมากเท่านั้น สามารถแบ่งออกเป็นเกรดเพ็ด (PET Quality) เกรดนี้ส่วนมากเป็นแมวที่เลี้ยงตามบ้านทั่วไป ราคาประมาณ 5,000 – 15,000 บาท จมูกยาว หน้าไม่บี้ หรือที่เรียกว่าหน้าตุ๊กตา ส่วนเกรดทำพันธุ์และโชว์ (Breed and Show Quality) ส่วนมากเป็นพ่อพันธุ์ – แม่พันธุ์ที่เลี้ยงไว้เพื่อประกวดหรือจัดแสดง โดยจะมีลักษณะของแมวเปอร์เซียที่ดีครบ คือหน้าจะบี้ จมูกและตาเกือบเสมอกัน นอกจากนี้ระดับของราคายังแบ่งเป็นสายพันธุ์ในประเทศและนำเข้าอีกด้วย โดยแมวเปอร์เซียสายพันธุ์ในประเทศอยู่ที่ 25,000 – 35,000 บาท ส่วนสายพันธุ์นำเข้าราคาอยู่ที่ 35,000 – 100,000 บาท หรือมากกว่านี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับสุขภาพของแมวและลักษณะเด่นตามสายพันธุ์นั้น ๆ
เมื่อได้เห็นประวัติความเป็นมา สายพันธุ์ และราคาที่น่าทึ่งแล้วก็คงไม่แปลกใจว่าทำไมแมวเปอร์เซีล้วก็คงต้องพิถีพิถันในการเลี้ยงดูน้องเหมียวให้มาก ๆ เพราะจะได้อยู่ด้วยกัยถึงได้เป็นที่ต้องตาต้องใจของใครหลาย ๆ คน หากผู้เลี้ยงได้แมวพันธุ์นี้มาดูแลแนไปนาน ๆ ให้สมกับค่าตัวที่แรงมหาศาล
อ่านบทความ พันธุ์แมว
เครดิตรูปภาพทั้งหมดจาก www.canva.com